แผนทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
| ที่มา | สถาบันวิจัยพลังพระเครื่อง-ของขลังโยนกสยาม IYEAR |
|---|---|
| คอลัมน์ | บทความพระเครื่อง |
| ผู้เขียน/เรียบเรียง | ภูดิส เมธีธนธรรม |
| เผยแพร่ | อาทิตย์ ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๕ |
แผนทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
โดย : พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ระยะนี้ทุกท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาของเรามากเป็นพิเศษ ต้องเน้นตรงนี้เลยว่า "#มากเป็นพิเศษ" ซึ่งตรงนี้หลายท่านให้คำอธิบายว่า "#เป็นทฤษฎีสมคบคิด"
คำว่า ทฤษฎีสมคบคิด ก็คือหลายสิ่งหลายอย่างบังเอิญเกิดขึ้น #แต่พอไปเกิดขึ้นติดๆกันก็เหมือนอย่างกับมีคนวางแผนให้เป็นไป
แต่กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด #แต่เป็นความตั้งใจอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าได้สังเกตมาเป็น ๑๐ ปีแล้วว่า #ถ้าหากใกล้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา #จะมีข่าวคราวไม่ดีเกี่ยวกับพระภิกษุสามเณรปะทุขึ้นมาทันที
#แล้วบรรดาผู้สื่อข่าวทุกประเภทก็จะรุมเล่นข่าวกันอย่างหนักมาก #โดยเจตนาที่จะลดเครดิต #คือความน่าเชื่อถือของพระพุทธศาสนาให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธาให้มากที่สุด แล้วเมื่อถึงเวลา ศาสนาอื่นผงาดขึ้นมาแทน เราจะได้ไม่ปฏิเสธเขา เพราะไปเห็นว่าศาสนาพุทธนั้นไม่ดีเสียแล้ว
เหตุที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่า เป็นเรื่องที่ตั้งใจทำให้เกิด ก็เพราะว่าสังเกตต่อเนื่องกันมาเป็น ๑๐ ปี ถ้าหากว่ามานานขนาดนี้ก็พอที่จะสรุปได้ว่า #สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีบางคน_บางคณะ_บางศาสนาวางแผนมาอย่างดี #และตั้งใจให้เกิด โดยที่มีพระภิกษุสามเณรของเราจำนวนหนึ่งที่ไปเตะลูกเข้าทางตีนเข้า
ขณะเดียวกัน #ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่รับจ้างบวชเข้ามา #เพื่อที่จะสร้างความเสียหายตามราคามากน้อยที่ได้รับจ้างมา อย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นคลิปแล้ว นั่นบังอาจมาก ถึงขนาดปลอมเป็นพระป่าเลย
แต่เมื่อโดนเจ้าคณะปกครองสอบถาม โดยที่แลกเปลี่ยนกันว่า ถ้ายอมบอกความจริงก็จะไม่ดำเนินคดี เขาถึงได้สารภาพว่า "#โดนจ้างมาให้สร้างความเสียหายให้เกิดกับพระพุทธศาสนา" โดยเฉพาะถ้าถ่ายคลิปเป็นหลักฐานได้ยิ่งดี แล้วส่งไปให้ผู้ว่าจ้าง ก็จะได้รับค่าจ้างตามที่เขากำหนดเอาไว้ ว่าสร้างความเสียหายระดับไหน จะได้ค่าจ้างเท่าไร
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังอย่างยิ่งก็คือ อย่าไปทำตัวเตะลูกเข้าทางตีนเขา สิ่งหนึ่งประการใดก็ตามที่เราทำ เราอาจจะคิดว่าไม่มีอะไร บริสุทธิ์ใจ แต่คนเห็นไม่คิดอย่างนั้น
อย่างเช่นมีพระสังฆาธิการรูปหนึ่ง ก็แค่โพสต์ภาพตัวเองลงเฟซบุ๊ก คราวนี้ท่านไปใส่แว่นตาที่ปรับสีตามความเข้มของแสง เมื่อไปถ่ายรูปกลางแจ้งเวลาเที่ยง ๆ จึงกลายเป็นแว่นตาดำ แล้วก็มีคนเข้ามาคอมเม้นท์ทันทีว่า "ใส่แว่นตาแบบนี้เป็นมาเฟียหรือเป็นพระสงฆ์" เหตุผลไม่สอบถามเสียก่อน สรุปตามสิ่งที่ตนเห็น แล้วก็ฟันธง
เรื่องพวกนี้ท่านจะเจอมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่า #ความเคารพในพระพุทธศาสนาของบุคคลในประเทศเราลดน้อยถอยลงไปเรื่อย จนกระทั่งมีหลายคนที่เลิกนับถือศาสนาไปเลย แม้กระทั่งต่างประเทศก็เป็นแบบนี้ แต่พอถึงเวลาตัวเองทุกข์จนหาทางออกไม่ได้ หลายคนก็ซมซานกลับมา เรื่องพวกนี้จะมีมากขึ้น..มากขึ้นไปตามลำดับ
ที่อยากจะเตือนก็คือว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระภิกษุสามเณร ญาติโยมที่ฟังอยู่เป็นพุทธบริษัท สิ่งหนึ่งประการใดที่เกิดขึ้น ขอให้เราเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของโลก
พระภิกษุสามเณรก็คือปุถุชน ไม่ใช่อริยชนระดับพระโสดาบันขึ้นไป จะได้ไม่ทำผิดทำพลาด แล้วบุคคลที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไปนั้น ก็คงมีประมาณเขาวัว อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เปรียบเอาไว้ วัวตัวหนึ่งมีเขา ๒ ข้าง แต่บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล พระองค์ท่านเปรียบว่ามีมากเหมือนขนวัว วัวทั้งตัวมีขนกี่หมื่นเส้น
แต่คราวนี้คนเราไม่มองตรงนี้ ในเมื่อไม่มองตรงนี้ และไปตั้งความหวังเอาไว้ว่า บุคคลโกนหัว ห่มเหลืองเมื่อไร จะต้องดีเท่านั้น ถ้าเราตั้งความหวังไว้แบบนั้น ก็อาจจะเจอแบบคุณน้าคนโตของกระผม
คุณน้าคนโตของกระผม ท่านนับถือท่านอาจารย์นิกรณ์ ดอยนางแลมาก ขนาดอยู่กรุงเทพฯ เดินทางไปเชียงรายไปว่าเล่น พอท่านอาจารย์นิกรเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ไปทำผู้หญิงท้อง ท่านก็หันมานับถือพระอาจารย์ยันตระ ติดตามพระอาจารย์ยันตระออกไปแสวงบุญวัดโน้น วัดนี้ วัดนั้นไม่ขาด พออาจารย์ยันตระเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา ท่านก็เปลี่ยนไปนับถือหลวงพ่อภาวนาพุทโธ คุณลองคิดดูว่าน้าผมซวยขนาดไหน ? จนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมเชื่อว่าท่านมองพระทั้งโลกหาดีไม่ได้
เราที่เป็นพุทธบริษัทต้องเข้าใจว่า การปฏิบัติของพระนั้น ต่อให้ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ปฏิบัติธรรมเต็มที่อย่างไรก็ตาม ก็จะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
ประเภทหนึ่งก็คือ เข้าถึงมรรคถึงผลไปเลย อีกประเภทหนึ่ง แค่กดกิเลสไว้ได้ด้วยอำนาจของสมาธิสมาบัติ ประเภทหลังนี่มักจะมาสายฤทธิ์ สายอภิญญา มีความเข้มแข็งในสมาธิสูงมาก แล้วก็ทำให้เกิดอุตริมนุสสธรรม คือสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปทำไม่ได้ ให้เขาเห็น
ในเมื่อมีความสามารถพิเศษให้คนอื่นเห็น ผู้คนก็แห่กันไปหัวไม่วางหางไม่เว้น ในเมื่อมัวแต่รับญาติโยมจนตัวเองไม่มีเวลารักษากำลังใจ พอถึงเวลากดกิเลสไม่อยู่ รัก โลภ โกรธ หลง ตีกลับ ก็จะเกิดเหตุขึ้นอย่างท่านอาจารย์ ๓ รายที่บอกมาว่ากล่าวให้ฟัง
แค่นั้นยังไม่พอ ถ้าเราเปรียบพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์เป็นเพชร เป็นพลอย ลองถามคนที่เขาขุดเพชรขุดพลอยร่อนแร่ดูสิ ว่าเขาต้องขุดดิน ขุดหิน กี่หมื่นกี่แสนตันกว่าที่จะได้เพชรได้พลอยสักเม็ดหนึ่ง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระพุทธศาสนาของเรา ถ้านับในประเทศไทยก็มีอยู่แค่ประมาณแสนกว่ารูปเท่านั้น ถ้าหากว่าในช่วงเข้าพรรษาก็มีอยู่ราว ๆ สองแสนกว่ารูป กรองแล้วจะเหลือรอดไปได้สักเปอร์เซ็นต์ ? สองเปอร์เซ็นต์ก็ยาก
ส่วนท่านที่เหลืออยู่ก็คือประเภทที่สามารถทรงฌาน ทรงสมาบัติแล้วกดกิเลสเอาไว้ เผลอเมื่อไร กิเลสตีหงายท้องเมื่อนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจะไปหวังเอาเพชรเอาพลอยเลย เป็นเรื่องยากมาก
แต่ว่าสมมติสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีมากมาย พระอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีมากมาย เอาแค่วันนี้ที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศ ก็คือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานตั้ง และพระราชทานเลื่อนพระราชาคณะ มีรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นชั้นหิรัญบัฏ ๓ รูป พระราชาคณะชั้นเทพ ๒ รูปพระราชาคณะชั้นราช ๓๑ รูป พระราชาคณะชั้นสามัญอีก ๒ รูป
เราจะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคัดเลือกเพชรพลอยจากหมู่สงฆ์ บุคคลใดที่เป็นสังฆโสภณ เป็นผู้สร้างความงามให้เกิดขึ้นกับหมู่สงฆ์ เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็ทรงยกย่องให้มียศมีตำแหน่ง
แต่ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า ตรงท้ายของสัญญาบัตรนั้นก็คือ ขอพระคุณท่านจงรับภาระ ธุระในพระพุทธศาสนา เมตตาสั่งสอน ก็แปลว่าพระองค์ทรงมอบหมายงานให้ ในการดูแลพสกนิกรที่เป็นพุทธบริษัทแทนพระองค์ท่าน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังสามารถคัดเลือกเพชรพลอยในหมู่สงฆ์ได้ ละเว้นในส่วนที่เป็นเศษขยะ เป็นโคลน เป็นทรายออกไป เราทั้งหลายก็ควรที่จะคัดเลือกเพชรพลอยได้
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ลำบาก เพราะว่าเวลาที่ท่านอยู่ต่อหน้าเรา ท่านทำดี ลับหลังเรา ท่านจะไปทำอะไรเราก็ไม่รู้ มีวิธีง่าย ๆ ก็คืออันดับแรกเลย ดูกันไปนาน ๆ ถ้าวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า หลวงปู่หลวงพ่อรูปนั้นท่านสร้างความดีอย่างสม่ำเสมอหลาย ๆ ปีต่อเนื่องกัน ก็พอที่จะเชื่อถือได้
อีกวิธีหนึ่งสำหรับท่านที่มีลางสังหรณ์ มีสัมผัสที่เป็นทิพย์ได้ #เมื่อกราบพระภิกษุสงฆ์สามเณรรูปใด_ให้ตั้งใจกราบในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าท่านทำในลักษณะนั้นแล้ว จากสัมผัสพิเศษที่ท่านมีอยู่ เกิดว่าพระภิกษุสงฆ์สามเณรรูปนั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านจะรู้สึกถึงความเย็นกายเย็นใจของตนเอง
ก็คือสิ่งที่ท่านทำแล้วซุกซ่อนอยู่ภายใน ไม่ได้อวดพวกเรา แต่ว่าไม่สามารถจะปิดบังได้ #เพราะว่าใจสามารถสื่อถึงใจได้
ดังนั้น...วันนี้ที่อยากจะตอกย้ำให้พวกเราได้เข้าใจก็คือว่า พระสงฆ์นั้นมีทั้งสมมติสงฆ์ ลูกชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ยิ่งในสมัยนี้ยิ่งคัดเลือกไม่ได้ #เพราะว่าถ้าหากว่าลูกหลานประพฤติไม่ดีก็มักจะยัดเข้าวัดมา หวังว่าหลวงปู่หลวงพ่อจะอบรมให้ดี กลายเป็นเอาวัสดุเกรดต่ำมา เพื่อหวังให้หลวงปู่หลวงพ่อผลิตออกมาเป็นสินค้าคุณภาพเกรดสามเอบ้าง สองเอบ้าง ซึ่งแค่กรองด้วยความรู้สึกง่าย ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปได้ยากขนาดไหน
อีกส่วนหนึ่งก็คือ #ขอให้มั่นใจว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นของจริง เป็นของแท้ ถ้าหากว่าเราดูตามมหาปรินิพพานสูตร ในทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ตราบใดที่พระธรรมวินัยยังครบถ้วนสมบูรณ์ ตราบนั้นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังคงมีอยู่
กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าปัจจุบันนี้พระธรรมวินัยยังครบถ้วนสมบูรณ์ สำคัญที่ว่าพระภิกษุสามเณรของเราและญาติโยมจะตั้งใจทำจริงแค่ไหนเท่านั้น
วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสงฆ์สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหมดแต่เพียงแค่นี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
************************************************
อ่านเพิ่มเติมเรื่อง...อีกหลายเรื่อง | คลิก |

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น