ผู้ประกาศข่าว ผู้ใช้โซเซียล...อาจสร้างบาปไม่รู้ตัว

 




ที่มา สถาบันวิจัยพลังพระเครื่อง-ของขลังโยนกสยาม IYEAR
คอลัมน์ บทความพระเครื่อง
ผู้เขียน/เรียบเรียง ภูดิส เมธีธนธรรม
เผยแพร่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๕

ผู้ประกาศข่าว ผู้ใช้โซเซียล...อาจสร้างบาปไม่รู้ตัว
ช่วงที่ผ่านมานี้ มีกลุ่มคน กลุ่มหนึ่งได้กระทำการไล่ตรวจจับ พระตามวัดหลายวัด และนำเสนอต่อสาธารณราวกับเป้นตำรวจจับคนร้าย ตามที่เป็นข่าวที่ทราบกันโดยทั่วไปปรากฎในสื่อ ซึ่งแน่ใจว่าท่านผู้ท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว แต่รู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินฟังการนำเสนอของผู้สื่อข่าวในทีวีหลายช่องลักษณะราวกับว่า ได้ตัดสินโดยองค์รวมว่าพระพุทธศาสนาเสื่อมลง คล้ายๆ กับว่าลดค่า ด้อยค่า หมิ่น พระสัทธรรม พระพุทธศาสนาในขณะที่นำเสนอข่าวนั้น โดยไม่ได้แยกแยะ ระหว่างองค์รวม กับ ความผิดส่วนบุคคล(อลัชชี) ผู้เขียนทราบดีว่า ผู้ประกาศข่าวอาจจะรู้สึกไม่พอใจที่มีอลัชชีกระทำการละเมิดพระวินัย แต่วิธีการนำเสนอข่าว ตัวอย่างเช่น พูดว่า "เดี๋ยวนี้วงการสงฆ์...." ซึ่งถ้าจะให้เห็นภาพก็คงต้องยกสุภาษิตไทยดังนี้
  • ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง เป็นสำนวนสุภาษิตไทยหมายถึงคนเพียงคนเดียวที่ทำสิ่งไม่ดีแล้วทำให้คนทั้งกลุ่มเสียชื่อเสียงไปด้วยหรืออาจหมายถึง คนที่ทำอะไรไม่ดี ทำให้คนอื่นๆในกลุ่มได้รับอิทธิพลที่ไม่ดี แล้วทำผิดตามไปด้วย[1]
  • ตัวอย่าง เช่น อย่าคิดว่าทุกคนในบริษัทเป็นเหมือนกันหมดนะ ดำเป็นปลาเน่าตัวเดียวเท้านั้นสำนวนนี้ตรงกับสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “One rotten apple spoils the whole barrel” [1]
เหตุใดถึงเป็นการกระทำบาปโดยไม่รู้ตัว
พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นจากการตรัสรู้ของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระองค์เอง ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ พระธรรมซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความละเอียดลึกซึ้งยิ่งในสภาวธรรมที่มีสามัญลักษณะ 3 ประการ (ไตรลักษณ์) คือ ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) ไม่ใช่ตัวตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ (อนัตตา) ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยจำแนกสภาพธรรมเป็น 2ประเภท คือ นามธรรมหรือนามธาตุหรือนามขันธ์ ประเภทหนึ่ง คือ จิตและเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ รูปธรรมหรือรูปธาตุหรือรูปขันธ์ อีกประเภทหนึ่ง คือ รูปซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร แต่ถูกรู้... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/31475/

ด้วยพระพุทธศาสนาเป็นสัทธรรมบริสุทธิ์ เกี่ยวของกับจิต เจตสิก จักรวาล กรรมดี กรรมชั่ว การที่เผลอจิตไปตำหนิ พระสัทธรรมโดยไม่รู้ตัวก็เป็นบาปยิ่ง-เป็นความผิดสำเร็จแล้ว เมื่อบาปเริ่มสะสมในจิตมากเข้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวในกมลจิต ทำให้เกิดผลเสียแก่ผู้นั้น ในสมัยโบราณก่อนเก่า คนรุ่นก่อนซึ่งเข้าใจดีในเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จึงมีคำกล่าวขอขมาพระรัตนตรัย ดังนี้

[2]เรื่องการขอขมาพระรัตนตรัยนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างนึงสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เพราะการขอขมานี้ก็ถือเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีพระคุณ ยิ่งสวด ยิ่งดี เพื่อขอขมาต่อความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น
    คําขอขมาพระรัตนตรัย  (นะโม 3 จบ)
      สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
        สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ 
          (แปลความหมาย) หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลายและผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ
          ที่มา : จากหนังสือสวดมนต์แปล วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
            บทสวดขอขมาพระรัตนตรัย (แบบที่ 2)
              วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
                วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
                  วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต
                    (แปลความหมาย) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระองค์จงประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
                      ข้าแต่พระธรรมอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรมเพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระธรรมจงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
                        ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระสงฆ์เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระสงฆ์จงให้อภัยโทษแก่้ข้าพเจ้าด้วยเถิด[2]

                        สุดท้ายนี้ ผู้เขียนได้แต่หวังว่า ท่านผู้มีปัญญาพึงตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ และช่วยกันทำนุงบำรุงพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งความร่มเย็นนาประการแก่ผู่เห็นสัทธรรมเป็นสำคัญ ให้สมกับเป็นพุทธบริษัท๔ ขอยํ้าว่าความเชื่อความศรัทธาแบบไม่ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย จักนำความสุขสวัสดีมาสู่ตนเองและครอบครัวเป็นแน่แท้..สาธุ

                        ที่มา : [1https://prolanguage.co.th/thai-proverb-01/ อ่านเพิ่มเติม | คลิก |
                        ที่มา : [2https://www.sanook.com/horoscope/145669/ | คลิก |


                        ความคิดเห็น

                        โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

                        index สารบัญ

                        คำนำ

                        25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498.. หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร ..แสดงเนื้อทองคำให้เห็น