พระกรุสกุลลำพูน (ทราวดี-หริภุญไชย)
| ที่มา | สถาบันวิจัยพลังพระเครื่อง-ของขลังโยนกสยาม IYEAR |
|---|---|
| คอลัมน์ | บทความพระเครื่อง |
| ผู้เขียน/เรียบเรียง | ภูดิส เมธีธนธรรม |
| เผยแพร่ | วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2564 |
ประวัติความเป็นมา
จังหวัดลำพูน เดิมชื่อเมืองหริภุญไชย เป็นเมืองโบราณ เริ่มสร้างเมืองประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐ ตามพงศาวดารโยนกเล่าสืบต่อกันถึงการสร้างเมืองหริภุญไชย โดยฤาษีวาสุเทพ เป็นผู้เกณฑ์พวกเม็งคบุตร หรือ ชนเชื้อชาติมอญมาสร้างเมืองนี้ขึ้น ในพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำกวง และแม่น้ำปิง เมื่อมาสร้างเสร็จได้ส่งทูตไปเชิญ ราชธิดากษัตริย์เมืองละโว้พระนาม “จามเทวี” มาเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองเมืองหริภุญไชย สืบราชวงศ์กษัตริย์ ต่อมาหลายพระองค์ จนกระทั่งถึงสมัยพระยายีบาจึงได้เสียการปกครองให้แก่พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผู้รวบรวม แว่นแคว้นทางเหนือเข้าเป็นอาณาจักรล้านนา เมืองลำพูน ถึงแม้ว่า จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนา แต่ก็ได้เป็นผู้ถ่ายทอดมรดกทางศิลปและวัฒนธรรมให้แก่ผู้ที่เข้ามาปกครอง ดังปรากฏหลักฐานทั่วไปในเวียงกุมกาม เชียงใหม่และเชียงราย เมืองลำพูนจึงยังคงความสำคัญในทางศิลปะและวัฒนธรรมของอาณาจักรล้านนา จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมืองลำพูนจึงได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย มีผู้ครองนครสืบต่อกันมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เมื่อเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้าย คือ พลตรีเจ้าจักรคำ ขจรศักดิ์ ถึงแก่พิราลัย เมืองลำพูนจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปกครอง สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
“ เมืองโบราณหริภุญไชย” อาณาจักรอันรุ่งเรืองและเก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือ แบ่งเป็น ๕ ยุค คือ
- ยุคก่อนประวิติศาสตร์
- ยุคประวัติศาสตร์แรกเริ่ม
- ยุคล้านนา
- ยุคต้นรัตนโกสินทร์
- ยุคการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
“ยุคก่อนประวัติศาสตร์” ประมาณ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี แหล่งโบราณคดีบ้านวังไฮ เป็นชุมชนโบราณยุคแรก ที่ปรากฏหลักฐาน ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกวง ในเขต ต.เวียงยอง อ.เมืองลำพูน กลุ่มชนที่นี่คือเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่อาศัยในดินแดนแถบนี้ก่อนที่จะรับวัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ที่แผ่ขยายเข้ามาและผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิม
“ยุคประวัติศาสตร์แรกเริ่ม” พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๙ อาณาจักรหริภุญไชย ก่อตั้งขึ้นโดยได้รับแบบอย่าง วัฒนธรรมทวารวดี จากลุ่มน้ำเจ้าพระยาในภาคกลางที่มีระเบียบแบบแผน ทั้งการปกครองศาสนา ศิลปวัฒนธรรม รุ่งเรืองในด้านการค้าเศรษฐกิจ มีกษัตริย์ปกครอง ที่ต้องทำนุบำรุงศาสนา และประชาชนศรัทธาพุทธศาสนาอย่างยิ่งมีปฐมกษัตรีย์ คือ พระนางจามเทวี
“ยุคล้านนา” พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๑ พญามังรายได้ย้าย ศูนย์กลางการปกครองไปเชียงใหม่และให้เมืองหริภุญไชยเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคงและต่อเนื่องในดินแดนหริภุญไชย
“ยุคต้นรัตนโกสินทร์” พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ เป็นยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง ในช่วงที่พม่าครอบครอง ดินแดนล้านนา เกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้ง ชาวเมืองพากันหลบหนีเข้าป่า ปล่อยบ้านเมืองร้างพญากาวิละ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้แต่งตั้งน้องชาย คือ พระยาบุรีรัตน์ (คำฝั้น)มาครองเมืองลำพูนและได้อพยพผู้คนชาวยอง มาสร้างบ้าน แปงเมืองใหม่โดยตั้งถิ่นฐานที่อยู่แถบ ริมน้ำกวง น้ำปิง และน้ำทาชาวยองได้นำวัฒนธรรม ศิลปกรรม และงานช่างต่างๆ มาด้วย ยุคนี้บ้านเมืองสงบสุข ร่มเย็น
“ยุคปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยยกเลิกการปกครองแบบ เจ้าผู้ครองนครมีการแต่งตั้งข้าหลวงประจำเมือง มาปกครองเมืองลำพูน รวมหัวเมืองที่อยู่ใกล้เคียงตั้งเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่ปกครองขึ้นตรงต่อสยามมีการสร้างทางรถไฟสายเหนือ
ข้อมูลจาก: สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดลำพูน
พระเครื่องสกุลลำพูน(ทราวดี-หริภุญไชย)
พระรอด พระคง พระบาง พระเลี่ยง พระเปิม ฯลฯ ถ้าเอ่ยคำนี้หรือนามพระเครื่องเหล่านี้ ผู้ที่ชื่นชอบพระเครื่องจะต้องให้ความสนใจแน่นอน กล่าวคือพระเครื่องกรุ เมืองหริภุญไชยนั้น มีอายุมากกว่า ๑,๓๐๐ ปี เป็นที่ปรารถนาของผู้คนที่ชื่นชอบพระเครื่องจำนวนมาก
ก่อนจะเข้าเรื่องจะขออนุญาตคัดลอกข้อมูลรายละเอียดในหนังสือ พงศวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) หน้า ๑๘๕ ถึงหน้า ๑๘๖ ดังนี้
ขณะนั้นราชกุมารทั้งสองของพระนางจามเทวี มีวัยอันเจริญมาได้ ๑๘ พรรษา สมเด็จพระชนนีนาฏราชมารดาทรงพระราชดำริจะมอบเวนสรริราชสมบัติให้เจ้ามหันตยศเป็นกษัตริย์ สืบสนองพระองค์ดำรงนครหริภุญไชย และจะสถาปนาเจ้าอนันตยศไว้ในที่มหาอุปราช ทรงพระดำริฉะนี้แล้ว จึงตรัสใช้อำมาตย์ไปอาราธนาพระมหาฤาษีทั้งสอง คือ พระวาสุเทพ และพระสุกทันตฤาษีมายังนครหริภุญไชย แจ้งความประสงค์ของพระนางนั้นให้พระดาบสทั้งสองทราบ พระดาบสก็อนุโมทนาเห็นชอบเห็นชอบด้วย จึงให้ประกาศข่าวแก่ชาวพระนครให้ทราบกำหนดการพระราชพิธีราชาราชาภิเษก ให้ประดับประดาตกแต่งพระนครให้สะอาดงดงาม แล้วให้ตั้งพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์และอิสีศาสตร์ราชมงคลการราชาภิเษกเจ้ามหันตยศราชกุมาร และอภิเษกเจ้าอนันตยศราชกุมารพร้อมกัน พระมหาฤาษีทั้งสองก็โสรจสรงมงคลอุทกวารีภิสิกะอาศิรพาทแห่งเจ้ามหันตยศ และอนันตยศราชกุมาร แล้วก็ประสิทธิ์พรศรีสวัสดิ์ และให้โอวาทโดยอนุศาสน์สำหรับกษัตริย์ ให้ดำรงราชจริยานุวัตรโดยทศพิธราชธรรมประเพณี ครั้นเสร็จการทั้งปวงแล้ว พระฤาษีทั้งสองก็ถวายพระพรลากลับไปสู่ที่อยู่แห่งตน
แต่นั้นมาสมเด็จเจ้ามหันตยศราช ก็ปรากฎพระเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง ครงราชสมบัติในนครหริภุญไชยเฉลิม พระอภิไธยว่า พระเจ้ามหาราช ส่วนเจ้าอนันตยศอนุชาธิราชก็ทรงอิสริยศเป็น มหาอุราช
ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าจามเทวีชนนีนาฏ ก็มีพระเกียรติยศในที่สมเด็จพันวัสสา ทรงบำเพ็ญแต่ในการพระราชกุศล สร้างอารามใหญ่น้อยหลายตำบล คือ สร้างอรัญญิกวิหาร ณ เบื้องปราจีนทิศ และทรงสร้างอาราม ณ ป่าไม้ยางทราย ชื่อว่ามาลุวาราม แล้วสร้างวิหารอีกแห่งหนึ่งในอิสานทิศ แล้วให้สร้างพัทธารามวิหารอีกแห่งหนึ่งในเบื้องอุดรทิศ แล้วสร้างลังการามและ มหาวนารามในเบื้องปัจจิมทิศ สร้างมหาสถารามไว้ในเบื้องทักษิณทิศ
ผู้เขียนขอแปลความหมายและแสดงตำแหน่งวัดโบราณสืบจนถึงปัจจุบันดังนี้; สัณฐานเมืองลำพูนมีรูปทรงเป็นรูปหอยสังฆ์ ไม่ได้เป็นรูปทรง สี่เหลี่ยมคล้ายเมืองเชียงใหม่จึงไม่มี ๔ มุมเมือง จากการสังเกตภาพถ่ายแผนที่ ได้แสดงแล้ว (ความเห็นผู้เขียน) พระนางจามเทวีให้สร้างวัดตามข้อมูลโบราณพงศวดารนี้ มีจำนวน ๗ แห่ง จึงยกข้อความความเดิมและแสดงตำแหน่งวัดตามแผนที่แล้ว วัดแต่ละแห่งเมื่อพิจารณาตามแผนที่แล้วก็พอจะอนุมานเห็นเค้าโครงเดิม และร่องรอยตามภูมิศาสตร์ (ความเห็นผู้เขียน "เหตุที่นำข้อความในพงศวดารโยนกมาประกอบการเขียนนั้น เพราะว่าข้อมูลที่รับทราบมาโดยตลอดนั้นอาจจะมีความคลาดเคลื่อนจากสาระความเดิม กล่าวคือมีการเน้นยํ้าถึงการสร้าง ๔ วัดสำคัญ ๔ มุมเมืองหริภุญไชย ทำให้แนวคิดถูกพันธนาการอยู่ในกรอบแค่ ๔ วัด อาจเป็นเหตุให้ความสำคัญของวัดโบราณบางวัดเช่น วัดจามเทวี วัดพระยืน วัดสันป่ายางหลวง ถูกลดความสถานะออกไปจากความสำคัญของประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ในสภาพทางภูมิศาสตร์นั้นเป็นสร้างวัดสำคัญเป็นชัยยะมงคล เป็นเดช เป็นศรี เป็นอุตมแก่เมืองพระนางจามเทวีมหากษัตรีแห่งเมืองหริภุญไชยน่าจะปรึกษากับพระฤาษีซึ่งเป็นพระอาจารย์ สัตตบุรุษ เสนาอามาตย์ผู้ทรงภูมิดีแล้ว จึงสร้างวัดสำคัญไว้แต่ละทิศตามความเดิมในพงศวดารโยนก จึงนำมาเสนอให้ผู้รู้ผู้สนใจค้นคว้ากันต่อไป") อนึ่งวัดโบราณหลายวัดในดินแดนหริภุญไชยนั้นยังไม่ได้กล่าวถึงยังมีอีกมากมาย
- ทิศตะวันออก: (มีจำนวน ๒ วัด) สร้างอรัญญิกวิหาร ณ เบื้องปราจีนทิศ และทรงสร้างอาราม ณ ป่าไม้ยางทราย ชื่อว่ามาลุวาราม น่าจะเป็นวัดดอนแก้วและวัดพระยืน ตามลำดับ
- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ: (มีจำนวน ๑ วัด) สร้างวิหารอีกแห่งหนึ่งในอิสานทิศ-น่าเป็นเป็นวัดสันป่ายางหลวง
- ทิศเหนือ: (มีจำนวน ๑ วัด) สร้างพัทธารามวิหารอีกแห่งหนึ่งในเบื้องอุดรทิศ น่าจะเป็นวัดพระคงฤษี
- ทิศะวันตก: (มีจำนวน ๒ วัด) สร้างลังการามและ มหาวนารามในเบื้องปัจจิมทิศ น่าจะเป็นวัดจามเทวีและวัดมหาวัน
- ทิศใต้: (มีจำนวน ๑ วัด) สร้างมหาสถารามไว้ในเบื้องทักษิณทิศ น่าจะเป็นวัดสังฆาราม(ประตูลี้)
- ทิศตะวันออกเมืองหริภุญไชย มีจำนวน ๒ วัดคือ สร้างอรัญญิกวิหาร ณ เบื้องปราจีนทิศ และทรงสร้างอาราม ณ ป่าไม้ยางทราย ชื่อว่ามาลุวาราม
- วัดดอนแก้ว(อรัญญิกวิหาร): วัดดอนแก้ว หรือวัดอรัญญิการาม (วัดอรัญมิการาม) ที่ตั้ง ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง ยุคสมัยการสร้าง ยุคหริภุญไชย ความสำคัญ เป็นวัดหนึ่งที่ปรากฏเรื่องราวในตำนานที่กล่าวว่า พระนางจามเทวีได้โปรดให้สร้างขึ้นเป็นพุทธปราการ ปกป้องพระนครประจำทิศตะวันออก เชื่อกันว่าวัดนี้ก็คือวัด ดอนแก้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดร้างและเป็นที่ตั้งของโรงเรียน เวียงยอง ในบริเวณวัดดอนแก้ว ได้พบโบราณศิลปวัตถุ สมัยหริภุญไชยจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูปหินทราย, ศิลาจารึกอักษรมอญโบราณ และพระพิมพ์ดินเผา (คัดลอกจาก-สำนักจัดการสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม)
- วัดพระยืน(มาลุวาราม): วัดพระยืนเป็นวัดประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่วัดหนึ่งในประเทศไทย เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครหริภุญไชยมีมาแต่สมัยพระนางจามเทวี เป็นปฐมกษัตริย์ครอบครองนครหริภุญไชยองค์ที่ ๑ ตั้งอยู่ ณ บ้านพระยืน หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ปรากฏตามประวัติศาสตร์และโบราณคดีดังนี้ ตำนานแห่งวัดพระยืนลำพูน นี้ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ด้วยความที่เป็นวัดเก่าแก่และโบราณที่ตั้งอยู่นอกเมืองไปในทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นวัดสำคัญหนึ่งในสี่ของวัดสี่มุมเมืองที่พระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัยนคร ทรงให้สร้างไว้ เมื่อปีพุทธศักราช ๑๒๐๔ พระวาสุเทพฤาษี ได้สร้างนครหริภุญไชย ขึ้นเมื่อสร้างนครหริภุญไชยได้ ๒ ปี คือ พ.ศ.๑๒๐๖ จึงได้อัญเชิญพระนางจามเทวีจากเมืองละโว้(ลพบุรี)มาเสวยราชสมบัติและเมื่อพระนางเจ้าจามเทวี ครองราชย์ได้ ๗ ปี เมื่อ พ.ศ.๑๒๑๓ จึงได้สร้างวัด ณ ทิศตะวันออก สร้างพระวิหาร พระพุทธรูป และเสนาสนะ ให้เป็นที่อยู่ของพระสังฆเถระ(คัดลอกข้อมูลจาก-สำนักงานวัฒนธรรม จ.ลำพูน)
- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองหริภุญไชย จำนวน ๑ วัด สร้างวิหารอีกแห่งหนึ่งในอิสานทิศ
- วัดสันป่ายางหลวง: โดยชาวบ้านที่พร้อมใจกันสร้างขึ้นเพื่อถวายไว้ในบวรพุทธศาสนา วัดสันป่ายางหลวงนับเป็นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนาของแคว้นล้านนา หลังสร้างเสร็จจึงได้มีการอัญเชิญเอาพระอัฐิธาตุของพระอัครสาวกของพระพุทธองค์ คือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มาบรรจุไว้ ณ ที่เจดีย์ของวัดสันป่ายางหลวง ต่อมาในยุคเสื่อมของพระพุทธศาสนา วัดสันป่ายางหลวงก็กลายเป็นวัดร้าง จนมาถึงสมัยของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ของเมืองลำพูน จึงได้มีการฟื้นฟูวัดสันป่ายางหลวงด้วยการสร้าง ถาวรวัตถุ และมีการกำหนดเขตธรณีสงฆ์ขึ้นใหม่ พร้อมกับประทานชื่อใหม่ว่า “วัดอาพัฒนารามป่าไม้ยางหลวง” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “วัดสันป่ายางหลวง” เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพที่ตั้ง เพราะในสมัยก่อนบริเวณดังกล่าวมีต้นยางขึ้นอย่างหนาทึบ
- ทิศเหนือเมืองหริภุญไชย จำนวน ๑ วัด แล้วให้สร้างพัทธารามวิหารอีกแห่งหนึ่งในเบื้องอุดรทิศ
- วัดพระคงฤษี(พัทธารามวิหาร): วัดพระคงฤาษี หรือวัดอนันทราม ตั้งอยู่ ต.ในเมือง เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวีครองเมืองหริภุญชัย ในวัดนี้มี พระคง ซึ่งเป็นพระเครื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่นับถืออีกองค์หนึ่งของเมืองลำพูน เป็น 4 วัด 4 มุมเมือง ที่มีการจุดพบพระเครื่องของเมืองลำพูน เชื่อว่าพระเครื่องที่ขุดได้นี้เป็นเป็นพระคง ที่ วาสุเทพฤาษี และสุกกทันตฤาษี สร้างวัด จึงเรียกว่า วัดพระคงฤาษี แต่นั้นเป็นต้นมา วัดพระคงฤาษี เดิมชื่อ "วัดอาพัทธาราม" พระนางจามเทวีโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อ ถวายพระภิกษุที่มาจากลังกา ใช้เป็นที่พำนักและบำเพ็ญสมณะธรรมเป็นที่บรรจุ "พระคง" (คัดลอกจาก-เวบไซต์ จ.ลำพูน)
- ทิศตะวันตกเมืองหริภุญไชย จำนวน ๒ วัด / สร้างลังการามและ มหาวนารามในเบื้องปัจจิมทิศ
- วัดมหาวัน (มหาวนาราม) เป็นพระอารามหลวงของพระนางจามเทวี เจดีย์วัดมหาวันเป็นที่บรรจุพระรอดลำพูน 1 ใน 5 พระเครื่องชุดเบญจภาคีที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เชื่อกันว่า พระรอดมีความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลังในด้านแคล้วคลาด ปราศจากภัยอันตรายและความวิบัติต่างๆ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้ลาภผลและคงกระพันชาตรี (คัดลอกจาก-เวบไซต์ จ.ลำพูน)
- วัดจามเทวี (ลังการาม): จากการตรวจสอบข้อมูลมีสองแนวคิดคือวัดนี้สร้างโดยกษัตริย์พระองค์ใด โดยพระนางจามเทวีปฐมกษัตรีหรือพระราชโอรส และเจดีย์องค์ใดบรรจุอัฐิของพระนางจามเทวี โบราณสถานที่ตั้งอยู่ภายในวัดมี ๒ แห่งคือ
- ทิศใต้เมืองหริภุญไชย จำนวน ๑ วัด สร้างมหาสถารามไว้ในเบื้องทักษิณทิศ
- วัดสังฆาราม(ประตูลี้)-(มหาสถาราม) แหล่งโบราณคดีวัดสังฆาราม (ประตูลี้) ตั้งอยู่ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ วัดสังฆาราม เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี กล่าวกันว่าเป็นวัดหนึ่งของวัดสี่มุมเมือง เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้ พบพระพิมพ์ดินเผาสกุลช่างต่าง ๆ ภาชนะดินเผาแบบหริภุญชัย และกลุ่มโครงกระดูกคนเป็นจำนวนมาก พบหม้อที่บรรจุกระดูกคนแบบวัฒนธรรมหริภุญชัย เศษกระดูกคนเผาไฟ ลูกปัดแก้ว พระพิมพ์ดินเผา เชิงเทียน ภาชนะดินเผาประเภทเครื่องเคลือบสีขาวของจีน สมัยราชวงศ์ซุ่ง เครื่องประดับสำริด เครื่องมือเหล็ก กระเบื้องมุงหลังคา และมีเศษอิฐกระจายอยู่หนาแน่น (คัดลอกจาก: แหล่งศิลปกรรมที่ควรอนุรักษ์)
- พระรอด
- พระคง
- พระบาง
- พระเปิม
- พระเหลี้ยม(พระเลี่ยง)
- พระสาม
- พระสิบสอง
- พระลบ
- พระลือหน้ามงคล
- พระลือหน้ายักษ์
- พระสิกขี
- พระจามเทวีซุ้มเรือนแก้ว
- เรื่องอายุพระรอด รุ่นครูอย่าง “ตรียัมปวาย” บอกไว้นานเต็มที สร้างสมัยพระนางจามเทวี มาสร้างนครหริภุญไชย หรือเมืองลำพูน เมื่อราวๆ 1,200 ปีที่แล้ว
- แต่ก็มีรุ่นครูอีกคน คุณอุทัย วิชัยสุทธิจิตร หรือลิ้ม กรุงไทย เขียนไว้ใน“อมตะพระกรุ” ของต้อย เมืองนนท์ ว่า ขอถอยหลังมาอีกสัก 300 ปี สมัย พระยาสรรพสิทธิ์ ครองหริภุญไชย (พ.ศ.1616-1661) จะได้หรือไม่ (พงศวดารโยนก: พระยาสรรพสิทธิ์ ครองหริภุญไชย (พ.ศ.๑๔๖๔-๑๖๔๐)-ผู้เขียน)
- ลิ้ม กรุงไทย อ้างศิลาจารึก ตชุมมหาเถร ภาษามอญโบราณแห่งวัดเชตวัน (วัดดอนแก้ว) ว่า ท่านได้สร้างถาวรวัตถุต่างๆ รวมทั้งคัมภีร์ยอดพระไตรปิฎกไว้ในวัดมหาวัน
- จารึกนี้ สมัยเดียวกับจารึกวัดกู่กุด และจารึกวัดเชตวัน รัชกาลพระยาสรรพสิทธิ์ กล่าวถึงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ศาสน-สถานถาวรวัตถุพังเสียหาย พระยาสรรพสิทธิ์ทรงซ่อมสร้างขึ้นใหม่
- หลักฐานนี้ เมื่อโยงกับศิลปะพระรอด พระคง ฯลฯ ลิ้ม กรุงไทย บอกว่าตรงกับศิลปะมอญแห่งพุกาม สมัยพระเจ้าครรชิต และพระเจ้าสรปติสิทธู
- ความเดิม: แล้วให้ตั้งพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์และอิสีศาสตร์ราชมงคลการราชาภิเษกเจ้ามหันตยศราชกุมาร และอภิเษกเจ้าอนันตยศราชกุมารพร้อมกัน พระมหาฤาษีทั้งสองก็โสรจสรงมงคลอุทกวารีภิสิกะอาศิรพาทแห่งเจ้ามหันตยศ และอนันตยศราชกุมาร แล้วก็ประสิทธิ์พรศรีสวัสดิ์ และให้โอวาทโดยอนุศาสน์สำหรับกษัตริย์ ให้ดำรงราชจริยานุวัตรโดยทศพิธราชธรรมประเพณี /
- ถอดความโดยผู้เขียน: การปลุกเสกสมัยนั้นน่าจะใช้การปลุกเสกหมู่ พิธีพระภิกษุอริยะสงฆ์ ทั้งปลุกเสกพิธีพราห์ม และเสกโดยฤาษีด้วย คงเป็นพิธีสำคัญพิธิใหญ่ น่าจะทำพระเครื่องเพื่อสืบทอดพุทธศาสนาและใช้ฤทธิ์เดช ศรี มงคลเพื่อความมั่นคงสถาพรสำหรับพระนครหริภุญไชยอีกทั้งความอยูดี กินดีสำหรับอาณาประชาราษฎร์ด้วย




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น