ท่านเจ้าคุณนรฯ ศึกษาศาสตร์พลังจิต
| ที่มา | สถาบันวิจัยพลังพระเครื่อง-ของขลังโยนกสยาม IYEAR |
|---|---|
| คอลัมน์ | บทความพระเครื่อง |
| ผู้เขียน/เรียบเรียง | ภูดิส เมธีธนธรรม |
| เผยแพร่ | วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2564 |
ประวัติ ท่านเจ้าคุณนรฯ
ปฐมวัย
พระพระยานรรัตนราชมานิต มีนามเดิมว่า ตรึก จินตยานนท์ (นามสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นบุตรของพระนรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์ ภายหลังบวชเป็นพระภิกษุ ฉายา สทฺธมฺมวิจาโร) และนางนรราชภักดี (พุก จินตยานนท์) มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 5 คน เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2440 เวลา 7.40 น. ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา และเป็นวันมาฆบูชาในปีนั้น ที่กรุงเทพมหานคร วัยถึงขั้นสมควร เล่าเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดโสมนัสวิหาร และชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน) จนสอบได้ชั้นมัธยมปลาย 5 ได้ลำดับที่ 1 ของประเทศ
ข้าราชการพลเรือน
ภายหลังจากที่ท่านได้จบการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ภายหลังคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับประกาศนียบัตรวิชารัฐศาสตร์ มีบัณฑิตร่วมรุ่น 12 นาย โดยสอบได้ลำดับที่ 1 ในปีการศึกษาสุดท้าย ท่านได้เข้าร่วมซ้อมรบในฐานะสมาชิกกองเสือป่า ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยรับหน้าที่ กองส่งข่าวหลวงรักษาพระองค์ ซึ่งในการซ้อมรบนี้เองได้เปลี่ยนวิถีชีวิต ทำให้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการประจำห้องที่พระบรรทม หลังท่านศึกษาจบ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2459 ท่านเป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก กระทั่งได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นพระยานรรัตนราชมานิต ซึ่งแปลว่า "คนดีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงยกย่องนับถือ" เมื่ออายุเพียง 25 ปี เมื่อปี 2465 สมกับที่ท่านได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณอย่างใกล้ชิด
บวชอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล
ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ สุจริต และกตัญญูกตเวที อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ดังที่ท่านเคยกล่าวถึงความภักดีต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "ต้องตายแทนกันได้" ความกตัญญูกตเวทีที่ท่านได้แสดงนี้ ได้ประจักษ์ชัดเมื่อท่านได้บวชอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2468 ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระพุทธวิริยากร (จันทร์ จนฺทกนฺโต) เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาาร และพระอุดมศีลคุณ (อิน อคฺคิทตฺโต) วัดเทพศิรินทราวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านดำรงเพศสมณะด้วยความเคร่งครัดต่อศีล เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากมลทินด่างพร้อยทั้งกาย ใจ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีปฏิปทาที่มั่นคง เด็ดเดี่ยว เป็นที่ยอมรับ และได้รับความเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชนว่า ท่านเป็นพระแท้ ที่หาได้ยากยิ่ง เป็นตัวอย่างของสงฆ์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ไม่ใฝ่หาลาภสักการะ ใฝ่หาชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นผู้ปฏิบัติตรงต่อ พระธรรมวินัย มีความกตัญญูเป็นเลิศ ยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้
คำสอน
"ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" จึงจะชนะ ข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดได้
- ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วง ทางกาย วาจา ได้ด้วย "ศีล"
- ชนะความยินดียินร้าย และหลงรักหลงชัง เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วย "สมาธิ"
- ชนะความเข้าใจ รู้ผิดเห็นผิดจากความเป็นจริงของ สังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วย "ปัญญา"
ผู้ศึกษาปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา" บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย " [ที่มา: วิกิพิเดีย สารานุกรมเสรี ]
การสนทนาธรรม
ตั้งแต่เรื่องนี้ไปเป็น เรื่องของการสนทนาธรรมระหว่าง ท่านเจ้าคุณนรฯ กับ ดร.บุญยง ว่องวานิช เมื่อครั้งสมัยบวชอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส
ต้องว่ายน้ำให้เก่งก่อน
การบวชของข้าพเจ้าครั้งที่สองเมื่อปี 2507 ข้าพเจ้ายังจำคำพูดของแม่ชีวรมัย กบิลสิงห์ ว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ ไม่สอนใคร เอาแต่ตัวรอดแต่ผู้เดียว จึงถามท่านเจ้าคุณนรฯ ว่า เขาพูดกันว่าพระเดชพระคุณไม่สอนธรรมะใคร เอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรฯ ฟังเฉย ๆ แล้วตอบว่า ถ้ามีใครตกน้ำกำลังจะจมน้ำตาย ถ้าเราคิดจะไปช่วยเขา เราต้องว่ายน้ำให้เก่งเสียก่อน จึงจะไปช่วยเขาได้ ถ้าว่ายน้ำไม่แข็ง เข้าไปช่วยเขา อาจถูกเขาฉุดหรือกอดจมน้ำตายได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ทำเช่นนี้ พระพุทธองค์เข้าป่าศึกษาและปฏิบัติถึง 6 ปี ตรัสรู้แล้วจึงออกมาสอนผู้อื่น คำพูดของท่านเจ้าคุณนรฯ น่าคิดมาก แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากหลายฝ่ายว่า คนจบปริญญาตรีอาจจะสอนคนมีความรู้ต่ำกว่าปริญญาตรีได้ คนจบปริญญาเอกก็สอนคนจบปริญญาตรีได้ ข้อโต้แย้งนี้มีเหตุผลน่าฟัง ข้าพเจ้าขอฝากไว้ให้เป็นอาหารแห่งความคิดของท่านผู้อ่านต่อไป
ก่อนที่ท่านจะรับราชการอยู่ในพระราชวัง ท่านเจ้าคุณนรฯ สนใจในอำนาจของพลังทางจิตมาก่อน ท่านอ่านตำราเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อข้าพเจ้าขอดู ท่านก็เอามาให้ดู ดังมีรายนามหนังสือต่อไปนี้ :-
1) The Hindu Goi Science of Breath by Yogi Ramacharaka
2) Gnani Goga (The Yoga of Wisdom) by Yogi Ramacharaka
3) The Hindu Yogi Science of Breath by Yogi Ramacharaka
4) A Series of Lessons in Raja Yoga by Yogi Ramacharaka
5) The Practical Water Cure As Practiced in India and other Oriental Countries by Yogi Ramacharaka Published by The Yogi Publication Society; Chicago, U.S.A.
6) Live Wisely Live Well ! An Explanation of The Value of Air, Sunlight, Movement and Response as Natural Healing Factors by Bernhard Detmar M.D., Ph.D. (Berlin)
7) Fourteen Lessons in Yogi Philosophy and Oriental Occultism : A Unique Work Covering the Entire Field of the Yogi Philosophy and Oriental Occultism by Yogi Ramacharaka
8) Hatha Yoga or The Yogi Philosophy of Physical Will-Being Yogi Ramacharaka
9) The Science of Psychic Healing by Yogi Ramacharaka
ข้าพเจ้าจึงสั่งซื้อจากผู้พิมพ์เมืองนอกมาได้หลายเล่ม อ่านแล้วรู้สึกว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ มีความรู้ลึกในเรื่องพลังทางจิตมาก ก่อนที่จะรับราชการในพระราชวังเสียอีก [ที่มา: http://www.saktalingchan.com/content_detail.php?id=11]
ความเห็นผู้เขียน : เรื่องพลังจิตนั้นถือว่าสำคัญอย่างกรณีศึกษาที่นำมาเสนอนี้ จะเห็นได้ว่าครูบาอาจารย์พระอริยะอย่าง ทานเจ้าคุณนรฯ นั้นท่านเป็นปราชญ์ ชอบ ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ท่าเรียนรู้ศาสตร์พลังจิตทางอินเดียมาก่อนจะอุปสมบทและด้วยการปฏิบัติอย่างเครัดทางพระธรรมวินัย การเจริญปฏิบัติสมาธิอยู่เป็นประจำท่านจึงเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีจากอุปัชฌาย์ครูบาเถราจารย์เป็นอย่างดี เช่น สมเด็จพระสังฆราชแพ เป็นต้น ..ท่านย่อมมีความรู้มากในการสร้างพระเครื่องทั้งทางรูปและทางนาม พระเครื่องของท่าน ถ้าเป็นพระแท้ ดีนอก-งามใน ย่อมแขวนองค์เดียวได้แน่นอน


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น